- กระทู้ ผู้เขียน
- #1
“ถุงลมนิรภัย” นับเป็นอุปกรณ์พื้นฐานเพื่อป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนที่รถยนต์ทุกคันต้องมี แต่ก็มีรถยนต์บางคันที่มีถุงลมนิรภัยที่ไม่ได้มาตรฐาน และจำเป็นจะต้องได้รับการเปลี่ยนโดยเร็วที่สุด (เช็กด่วน! รถรุ่นไหนใช้ถุงลมนิรภัยไม่ได้มาตรฐาน https://www.smk.co.th/newsdetail/2893) แต่ก็อาจเกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วถุงลมนิรภัยมีหลักการทำงานอย่างไร? มีวันหมดอายุหรือเสื่อมสภาพได้หรือไม่?
ถุงลมนิรภัยทำงานอย่างไร?
“ถุงลมนิรภัย” มีลักษณะคล้ายกับถุงลมที่บรรจุลมอยู่ด้านในและพองออกมาจากด้านหน้าตัวรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุ วัตถุดิบที่นำมาใช้ทำถุงลมนิรภัยจะทำมาจากถุงไนลอนหรือโพลีเอไมด์ โดยอากาศที่บรรจุอยู่ภายในจะมีแก๊สไนโตรเจนบรรจุไว้อยู่ประมาณ 60-70 ลิตร หลังเกิดการกระแทกที่รุนแรงจากด้านนอกเข้ามาที่ตัวรถ แรงกระแทกจะไปโดนตัวลูกบอลเหล็กด้านในเพื่อสั่งให้ถุงลมนิรภัยทำงานและพองตัวออกมาอย่างรวดเร็ว และแก๊สที่ถูกเก็บในรูปของของแข็งที่ชื่อ โซเดียมเอไซด์ จะเกิดปฏิกิริยาสลายตัวกลายเป็นโลหะโซเดียมและแก๊สไนโตรเจนในที่สุด
การทำงานของถุงลมนิรภัย จะไม่ได้ถูกตั้งค่าให้มีการทำงานทุกครั้งที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เพราะผู้ผลิตแต่ละรุ่นจะมีการกำหนดการทำงานที่ชัดเจนแตกต่างกันออกไป โดยหลักการทำงานของถุงลมนิรภัยส่วนใหญ่จะถูกตั้งค่าให้ทำงานเมื่อมีการชนด้านหน้าอย่างรุนแรงและในรัศมีที่กำหนดเท่านั้น แต่หากไม่อยู่ในรัศมีและแรงกระแทกไม่ถึงค่าที่กำหนดถุงลมนิรภัยจะไม่ทำงาน เพราะการป้องกันความปลอดภัยในเบื้องต้นจะอาศัยโครงสร้างของตัวรถและชุดเข็มขัดนิรภัยที่เพียงพอต่อการป้องกันในสภาพความเร็วต่ำอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยชุดถุงลมนิรภัยเพิ่มอีก
ถุงลมนิรภัยจะทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ความเร็วเท่าไร?
ทุกครั้งที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ถุงลมนิรภัยจะทำงานที่ความเร็วดังนี้
ถุงลมนิรภัยหมดอายุได้หรือไม่?
ผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ถุงลมนิรภัยควรเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 7 ปี และในอนาคตมีแนวโน้มที่จะบังคับให้บริษัทรถยนต์ระบุอายุการใช้งานของถุงลมหรือติดป้ายวันหมดอายุของถุงลมไว้ในที่ที่มองเห็น เพื่อป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับถุงลมหมดอายุที่เริ่มมีมากขึ้นบนถนน
การตรวจสอบการทำงานของถุงลมนิรภัย โดยเฉพาะในรถที่มีอายุการใช้งานมากหน่อย วัสดุอุปกรณ์อาจเสื่อมไปตามกาลเวลา ซึ่งเมื่อระบบถุงลมนิรภัยทำงานผิดปกติจะมีไฟเตือนถุงลมนิรภัยแสดงขึ้น ควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบอย่างเร่งด่วน เนื่องจากระบบตรวจเช็กการทำงานถุงลมนิรภัย จะต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เฉพาะทางซึ่งส่วนใหญ่จะมีอยู่ในศูนย์บริการของค่ายรถยนต์หรือช่างผู้ชำนาญการเท่านั้น
ก่อนขับขี่ทุกครั้งควรศึกษาการใช้งานหรือการทำงานของระบบรักษาปลอดภัยในรถยนต์อย่างถี่ถ้วน ควรคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ตั้งระยะห่างของที่นั่งคนขับให้ห่างจากพวงมาลัยและคอนโซลหน้าที่เหมาะสมกับความสูงของคนขับ และควรนำเด็กไปนั่งด้านหลังหรือไม่ควรนำสิ่งของไปวางไว้บนฝาครอบถุงลมนิรภัยเพื่อความปลอดภัย
ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพื่มความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/premotor หรือ https://smkinsurance.blogspot.com/
ถุงลมนิรภัยทำงานอย่างไร?
“ถุงลมนิรภัย” มีลักษณะคล้ายกับถุงลมที่บรรจุลมอยู่ด้านในและพองออกมาจากด้านหน้าตัวรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุ วัตถุดิบที่นำมาใช้ทำถุงลมนิรภัยจะทำมาจากถุงไนลอนหรือโพลีเอไมด์ โดยอากาศที่บรรจุอยู่ภายในจะมีแก๊สไนโตรเจนบรรจุไว้อยู่ประมาณ 60-70 ลิตร หลังเกิดการกระแทกที่รุนแรงจากด้านนอกเข้ามาที่ตัวรถ แรงกระแทกจะไปโดนตัวลูกบอลเหล็กด้านในเพื่อสั่งให้ถุงลมนิรภัยทำงานและพองตัวออกมาอย่างรวดเร็ว และแก๊สที่ถูกเก็บในรูปของของแข็งที่ชื่อ โซเดียมเอไซด์ จะเกิดปฏิกิริยาสลายตัวกลายเป็นโลหะโซเดียมและแก๊สไนโตรเจนในที่สุด
การทำงานของถุงลมนิรภัย จะไม่ได้ถูกตั้งค่าให้มีการทำงานทุกครั้งที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เพราะผู้ผลิตแต่ละรุ่นจะมีการกำหนดการทำงานที่ชัดเจนแตกต่างกันออกไป โดยหลักการทำงานของถุงลมนิรภัยส่วนใหญ่จะถูกตั้งค่าให้ทำงานเมื่อมีการชนด้านหน้าอย่างรุนแรงและในรัศมีที่กำหนดเท่านั้น แต่หากไม่อยู่ในรัศมีและแรงกระแทกไม่ถึงค่าที่กำหนดถุงลมนิรภัยจะไม่ทำงาน เพราะการป้องกันความปลอดภัยในเบื้องต้นจะอาศัยโครงสร้างของตัวรถและชุดเข็มขัดนิรภัยที่เพียงพอต่อการป้องกันในสภาพความเร็วต่ำอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยชุดถุงลมนิรภัยเพิ่มอีก
ถุงลมนิรภัยจะทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ความเร็วเท่าไร?
ทุกครั้งที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ถุงลมนิรภัยจะทำงานที่ความเร็วดังนี้
- คู่กรณีเป็นฝ่ายชนเข้ามาด้วยความเร็วและเกิดความเสียหายต่อตัวรถจนผิดรูป เช่น ชนกับเสาไฟฟ้าหรือชนด้านหลังรถบรรทุก ความเร็วจะต้องมากกว่า 20 กิโลเมตร/ชม. ที่จะทำให้ถุงลมนิรภัยพองตัว
- การทำงานของถุงลมนิรภัยจะพองตัวเมื่อรถยนต์ชนกับเสาที่ความเร็วประมาณ 30 กิโลเมตร/ชม.
- การชนกับรถที่จอดอยู่กับที่ ชนกับกำแพง ชนคอนกรีต หรือชนนอกศูนย์กลางด้านหน้า ความเร็วของรถยนต์ต้องมากกว่า 40 – 50 กิโลเมตร ต่อชม. จึงจะทำให้ถุงลมนิรภัยพองตัว
ถุงลมนิรภัยหมดอายุได้หรือไม่?
ผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ถุงลมนิรภัยควรเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 7 ปี และในอนาคตมีแนวโน้มที่จะบังคับให้บริษัทรถยนต์ระบุอายุการใช้งานของถุงลมหรือติดป้ายวันหมดอายุของถุงลมไว้ในที่ที่มองเห็น เพื่อป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับถุงลมหมดอายุที่เริ่มมีมากขึ้นบนถนน
การตรวจสอบการทำงานของถุงลมนิรภัย โดยเฉพาะในรถที่มีอายุการใช้งานมากหน่อย วัสดุอุปกรณ์อาจเสื่อมไปตามกาลเวลา ซึ่งเมื่อระบบถุงลมนิรภัยทำงานผิดปกติจะมีไฟเตือนถุงลมนิรภัยแสดงขึ้น ควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบอย่างเร่งด่วน เนื่องจากระบบตรวจเช็กการทำงานถุงลมนิรภัย จะต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เฉพาะทางซึ่งส่วนใหญ่จะมีอยู่ในศูนย์บริการของค่ายรถยนต์หรือช่างผู้ชำนาญการเท่านั้น
ก่อนขับขี่ทุกครั้งควรศึกษาการใช้งานหรือการทำงานของระบบรักษาปลอดภัยในรถยนต์อย่างถี่ถ้วน ควรคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ตั้งระยะห่างของที่นั่งคนขับให้ห่างจากพวงมาลัยและคอนโซลหน้าที่เหมาะสมกับความสูงของคนขับ และควรนำเด็กไปนั่งด้านหลังหรือไม่ควรนำสิ่งของไปวางไว้บนฝาครอบถุงลมนิรภัยเพื่อความปลอดภัย
ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพื่มความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/premotor หรือ https://smkinsurance.blogspot.com/